เอสซีจีเดินหน้า Open Innovation กับกลุ่มสตาร์ทอัพ ตอบโจทย์ผู้บริโภค ยุคนิวนอร์มอลพร้อมรับวิถีใหม่เพื่อผู้บริโภค ลุย “Open Innovation” เต็มตัว

เอสซีจี ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเพิ่มขีดความสามารถองค์กร (Digital Transformation) ตั้งแต่ปี 2560 ด้วยเป้าหมายหลักที่จะนำองค์กรไปสู่การทำงานด้วยรูปแบบดิจิทัลอย่างครบวงจร ที่ผ่านมา เอสซีจีมีการเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะในปีนี้เป็นปีที่สถานการณ์มีความผันผวนและมีความท้าทายอย่างมาก ทำให้ต้องเร่งปรับตัวให้เร็วกว่าเดิม และเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น ​ทั้งจากการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับหน่วยธุรกิจเดิม

โดยในปีนี้ AddVentures by SCG หน่วยงานด้านการลงทุนสตาร์ทอัพที่ทำหน้าที่มองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ของเอสซีจี ยังคงมีการทุ่มเงินลงทุนอย่างต่อเนื่องในกลุ่มเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตไปทั้งหมด 4 บริษัท และ 1 กองทุน (VC Fund) ทั้งในและนอกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควบคู่กับการดำเนินโครงการ “Ignitor” ซึ่งเป็นโครงการที่จะช่วยเชื่อมต่อเทคโนโลยีจากสตาร์ทอัพภายนอกและหน่วยงานต่าง ๆ ของเอสซีจี โดยมีจุดประสงค์ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กร ขณะเดียวกันก็ยังเปิดการโอกาสให้สตาร์ทอัพต่าง ๆ เป็นคู่ค้าคู่ธุรกิจกับเอสซีจี หรือบริษัทภายในเครือของเอสซีจี

จากวิกฤติการณ์ COVID-19 ถือเป็นความท้าทาย และเป็นตัวเร่งที่ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น เอสซีจีเองจึงต้องเร่งผลักดันสร้างนวัตกรรมให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังแม่นยำ และตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยเน้นไปที่ 4 กลุ่มนวัตกรรมหลัก (Theme) ที่จะช่วยเสริมความพร้อมกับความท้าทาย (New normal) ที่เกิดขึ้น ทั้งยังเปิดประตูให้กว้างขึ้นกว่าเดิมสำหรับโอกาสใหม่ ๆ ในปี 2564 และอนาคตอันใกล้ที่กำลังจะมาถึง

เดินหน้าร่วมมือกับสตาร์ทอัพ เพื่อส่งต่อเทคโนโลยี นวัตกรรมที่ดีกว่า เร็วกว่า และคุ้มค่า

ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา Addventures by SCG ด้วยวิสัยทัศน์ you innovate, we scale” ที่ต้องการเสริมศักยภาพสตาร์ทอัพทั่วโลก ยกระดับ Ecosystem ด้วยองค์ความรู้ เครือข่าย และขยายฐานลูกค้าทั่วอาเซียน มีการลงทุนไปทั้งหมด 16 สตาร์ทอัพ และ 5 กองทุน (VC Fund)  โดยในปี 2563 นี้ ได้เพิ่มเงินลงทุนใน Portfolio ไปกับ 4 สตาร์ทอัพ และ 1 กองทุน (VC fund)

นอกจากด้านการลงทุนแล้ว ยังเป็นปีที่ AddVentures ให้ความสำคัญและมุ่งเน้นในการปั้นโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับเอสซีจี และบริษัทในเครือ เพื่อตอบรับกับการขยายของตลาดในอนาคต ล่าสุดร่วมกับ Validus แพลตฟอร์มสินเชื่อ SME ที่เดิมมีการดำเนินงานในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ร่วมมองหาโอกาสในการขยายตลาดสู่ประเทศอื่น ๆ เพิ่มเติม

นายดุสิต ชัยรัตน์ Corporate Venture Capital Fund Manager AddVentures by SCG

Open Innovation ขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ

ฟันเฟืองที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งของการทำ Digital Transformation คือ “Ignitor” โครงการที่ช่วยสร้างสรรค์นวัตกรรมภายใน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการนำเอาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยพร้อมใช้งานได้จริง มาปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทภายใต้เครือเอสซีจีกว่า 300 บริษัท

กิจกรรมของโครงการครอบคลุมตั้งแต่การคัดเลือกปัญหาที่เกิดขึ้นจริงที่ต้องการได้รับการแก้ไข (Pain point) ของแต่ละธุรกิจในเครือ ค้นหาและสร้างความสัมพันธ์กับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี (Tech startup) ทั่วโลก ตลอดจนช่วยเหลือในการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้กับตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง ทั้งในช่วงของการทดลองและต่อยอดขยายผล อาทิเช่น การใช้เทคโนโลยี Business Process Automation (BPA) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยงานในเอสซีจี ซึ่งที่ผ่านมาสามารถลดเวลาในการทำงานได้จริงกว่า 70% โดยเวลาที่ได้กลับมา สามารถนำไปพัฒนาการให้บริการกับลูกค้า หรือ การนำเทคโนโลยี Omni-channel enablement มาเสริมสร้างประสบการณ์ของลูกค้า (Customer experience) เพื่อให้ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมและซื้อสินค้าของเอสซีจี ได้ทั้งในออนไลน์ และออฟไลน์ได้อย่างต่อเนื่อง (Seamless)

สำหรับในปี 2563 มีหน่วยธุรกิจต่าง ๆ ได้ส่งปัญหาที่เกิดขึ้นจริง​ (pain point)​​ เข้ามาที่ในโครงการ Ignitor ถึง 55 โครงการ โดย 32 โครงการ ถูกพัฒนาให้เป็น Proof-of-Concept (กรรมวิธีทดสอบการแก้ไขปัญหาในระดับทดลอง) และขยายผลไปยังธุรกิจอื่น ๆ ขององค์กร โดยคาดการณ์ว่าการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานดังกล่าวจะสามารถช่วยสร้างผลกำไรเพิ่มเติมได้ถึง 1 พันล้านบาท ในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า อีกทั้ง ยังสามารถพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอีกด้วย

เตรียมพร้อมรับมือยุค New Normal

นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีแล้ว วิกฤติ COVID-19 ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เร่งให้เกิด Business Transformation ทั้งกลุ่ม B2B และ B2C ทำให้เอสซีจีให้ความสำคัญกับ 4 ประเด็นสำคัญที่จะช่วยในการรับมือกับวิกฤติดังกล่าว ดังนี้

  1. ธุรกิจรูปแบบใหม่ (New business models) – เอสซีจีมองหาบริษัทที่มีแนวทางการทำธุรกิจเน้นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเข้าไปสนับสนุนเงินทุน จับมือเป็นคู่ค้า และขยายผลธุรกิจไปในระดับภูมิภาค อาทิเช่น การร่วมมือกับ Janio แพลตฟอร์ม cross-border e-commerce ที่ SCG ได้มีส่วนร่วมขยายธุรกิจให้ครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New product development) – แทนที่จะพึ่งพาการพัฒนาจากภายในเพียงอย่างเดียว เอสซีจีเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพที่มีไอเดียน่าสนใจ เข้ามาเสนอไอเดียเพื่อร่วมพัฒนาไอเดียให้ใช้ได้จริง เนื่องจากการมีบทบาททางธุรกิจที่ครอบคลุม ทำให้เอสซีจีสามารถทดสอบตลาดและคอยอำนวยความสะดวกทางการค้าในแต่ละพื้นที่ผ่านการจดสิทธิบัตรทางเทคโนโลยี ให้กับสตาร์ทอัพต่าง ๆ รวมถึงการขยายตลาดมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  3. พฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป (A shift of customer behaviors) – ความวิตกกังวลกับวิกฤติ COVID-19 ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์มากกว่าการไปหน้าร้าน จึงเป็นหน้าที่ของระบบปฏิบัติงานอัตโนมัติ ต่าง ๆ ที่เอสซีจีได้นำมาใช้งานในทุกช่องทางที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้า ในขณะเดียวกันบริษัทยังสามารถเก็บข้อมูลเชิงลึกผ่านการปฏิสัมพันธ์ของลูกค้า Bot เพื่อพัฒนาการบริการให้ดียิ่งขึ้น
  4. Business Process Automation (BPA) – หน่วยธุรกิจหลายหน่วยใช้ระบบ BPA เพื่อช่วยจัดการระบบการทำงานที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นระบบดังกล่าวช่วยให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างราบรื่น ลดเวลาการทำงานลงถึง 50-70% ลดต้นทุนและความผิดพลาดส่วนบุคคล และเพิ่มคุณภาพการบริการไปพร้อม ๆ กัน ทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถจัดเก็บเพื่อไปทำสื่อที่ช่วยทำความเข้าใจเชิงลึกที่แม่นยำ และช่วยพัฒนาระบบต่อไปในอนาคต
(ขวา) นายจาชชัว แพส (ซ้าย) นายดุสิต ชัยรัตน์

เปิดกว้าง สำหรับทุกโอกาส ในการลงทุน Open Innovation Space

“สำหรับปี 2564 เอสซีจียังคงมุ่งมั่นกับการสร้างธุรกิจใหม่ๆ และการเป็นองค์กรเทคโนโลยีขั้นสูงจากการทำ Open Innovation” นายจาชชัว แพส Managing Director, AddVentures by SCG ได้เน้นย้ำถึงภารกิจขององค์กร ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายว่า “เราเปิดโอกาสและต้อนรับสตาร์ทอัพจากทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็น B2B,Industrial หรือ Enterprise ซึ่งสามารถเข้ามาเป็นทั้งหุ้นส่วนทางการค้าผ่านทางโครงการ Ignitor รวมถึงการเปิดโอกาสให้ AddVentures ได้เข้าไปลงทุนในอนาคต” กล่าวทิ้งท้าย

(Visited 1,240 times, 1 visits today)
ดาวน์โหลดข่าว