SCGP แถลงผลประกอบการปี 2567 รายได้โตร้อยละ 3 ประกาศจ่ายปันผล 0.55 บาท/หุ้น มุ่งขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กลุ่มสินค้า ที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค

SCGP แถลงผลการดำเนินงานปี 2567 ทำรายได้ 132,784 ล้านบาท กำไร 3,699 ล้านบาท พร้อมจ่ายเงินปันผล 0.55 บาทต่อหุ้น คิดเป็นร้อยละ 63.8 ของกำไร เผยปีที่ผ่านมาได้รับมือสถานการณ์ที่ท้าทาย ด้วยการสร้างความแข็งแกร่งในกลุ่มสินค้า ที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค อาทิ บรรจุภัณฑ์อาหารเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ และทุ่มเทเพิ่มปริมาณการขายตลาดภายในประเทศไทย-อินโดนีเซีย-เวียดนาม-ฟิลิปปินส์ ส่งผลให้รักษาความเป็นผู้นำ ส่วนแบ่งตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน มั่นใจปี 2568 ธุรกิจเติบโตรับตลาดบรรจุภัณฑ์ฟื้นตัว ตั้งเป้า EBITDA 18,000 ล้านบาท เดินหน้า 4 กลยุทธ์ 1.รุกตลาดในอาเซียน และสินค้าปลายน้ำต่อเนื่อง 2.เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วย Data Analytic และ Artificial Intelligence (AI) เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และลดต้นทุน 600 ล้านบาท 3.พัฒนานวัตกรรม โซลูชัน และผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำตอบโจทย์ลูกค้า และ 4.เดินหน้า ESG เพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกเป็นร้อยละ 39

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในปี 2567 ความต้องการของตลาดในอาเซียน ปรับตัวดีขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศ และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลัง มีปัจจัยค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่น ๆ ในอาเซียน และเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ ส่งผลต่อปริมาณการส่งออกและราคาของกระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาค ที่ปรับตัวลดลง ส่วนในไตรมาส 4 ปี 2567 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ตลาดภายในประเทศในอาเซียน มีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ จากประเทศจีนเริ่มฟื้นตัว และมีแนวโน้มนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม จากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น หลังจากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ปีที่ผ่านมา SCGP ได้รับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ โดยปรับกลยุทธ์การตลาด มุ่งเน้นการขายภายในประเทศ ในอาเซียน รองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น สามารถเพิ่มปริมาณการขาย ทั้งกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ และบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ ส่งผลให้ยังรักษาความเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน อีกทั้งได้มีการปรับพอร์ตเพิ่มการลงทุน ในกลุ่มสินค้าที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค เช่น อาหารเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพเติบโต อย่าง Healthcare Supplies การเพิ่มการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ในเอเชียใต้ เช่น อินเดีย บังกลาเทศ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต ส่วนการบริหารวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) SCGP ได้สร้างเครือข่ายพันธมิตรภายในประเทศเพื่อจัดหา และใช้วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล ในประเทศที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งกำลังดำเนินการปรับโครงสร้าง ทางการเงินเพื่อลดต้นทุนทางการเงินในอินโดนีเซียด้วย

ทำให้ปี 2567 SCGP มีรายได้จากการขาย 132,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปีก่อน EBITDA 16,127 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสำหรับปี 3,699 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2567 มีรายได้จากการขาย 31,231 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA 2,845 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขาดทุนสำหรับงวด 57 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 105 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาของวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลที่สูงขึ้น และราคาขายของสินค้าที่อ่อนตัวลง รวมถึงการรวมผลการดำเนินงานจากอินโดนีเซีย และผลประกอบการของธุรกิจรีไซเคิลที่ลดลง

SCGP กลยุทธ์การเติบโตปี 2568 เติบโตผ่านความร่วมมือระหว่างธุรกิจ พัฒนาโซลูชัน ขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน

จากผลการดำเนินงานของปี 2567 คณะกรรมการบริษัทมีมติ ให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท โดยบริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลงวดระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท เมื่อวันที่ 21สิงหาคม พ.ศ. 2567 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2568 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2568 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568

นายวิชาญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไตรมาส 1 ปี 2568 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากการบริโภคภายในประเทศกลุ่มอาเซียน ที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย และความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ของจีน ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปคาดว่า จะเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง และการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามสถานการณ์ด้านมาตรการภาษี การค้าสำหรับสินค้านำเข้า (Tax Tariff) ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยราคาพลังงานและต้นทุนโลจิสติกส์ คาดการณ์ว่ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ปี 2568 SCGP ได้วางแผนงบลงทุนรวม 13,000 ล้านบาท และตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA เป็น 18,000 ล้านบาท โดยดำเนินงานผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก เพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ได้แก่

  1. เพิ่มความสามารถในการทำกำไรในกลุ่มประเทศอาเซียน โฟกัสการขายที่ตลาดภายในประเทศไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และสร้างการเติบโตในสินค้าเชื่อมโยงกับผู้บริโภค รวมถึงการเพิ่มโอกาสเข้าตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูงอย่าง Healthcare Supplies
  2. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน การปรับปรุงต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานผ่านเทคโนโลยี Data Analytic และ Artificial Intelligence (AI) ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและลดต้นทุนในปี 2568 ได้ประมาณ 600 ล้านบาท
  3. พัฒนานวัตกรรมและโซลูชันเพื่อสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ลูกค้า รวมถึงการพัฒนากระบวนการ และบริการ ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และสร้างความแตกต่างเพื่อเพิ่มมูลค่า และความสามารถทำกำไร โดยตั้งงบประมาณและค่าใช้จ่าย เพื่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 1 โดยประมาณของรายได้ในแต่ละปี ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้ารายได้จาก กลุ่มสินค้านวัตกรรมและโซลูชัน คิดเป็นร้อยละ 37 ของรายได้รวม
  4. มุ่งดำเนินงานตามกรอบ ESG และหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ได้การรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยวางเป้าหมายเพิ่มการใช้พลังงานทางเลือก เป็นร้อยละ 39 ในปี 2568

Published on: Jan 28, 2025

(Visited 193 times, 27 visits today)
ดาวน์โหลดข่าว