เอสซีจีเผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2564 กำไรเพิ่มขึ้น จากนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มรับตลาดโลกฟื้น การเริ่มผลิตของโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ เฟส 2 และการส่งมอบโซลูชันที่อยู่อาศัย ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการปรับปรุงบ้านในช่วง Work from Home ขณะที่บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร-เครื่องดื่ม และอีคอมเมิร์ซเติบโตต่อเนื่อง ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีบริหารจัดการกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุน พร้อมมุ่งขับเคลื่อนองค์กรสู่ต้นแบบธุรกิจ ESG ด้วยการลงนามในสัญญาซื้อหุ้นในบริษัทรีไซเคิลพลาสติก ในโปรตุเกส พัฒนาโซลูชัน Medical & Healthcare และ EV รับเทรนด์โลก เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า “งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2564 มีรายได้จากการขาย 122,066 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากไตรมาสก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ และมีกำไรสำหรับงวด 14,914 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 85 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนจากทุกกลุ่มธุรกิจ โดยธุรกิจเคมิคอลส์มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงของโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ (MOC) ในไตรมาสก่อน การเริ่มผลิตของโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ เฟส 2 (MOC Debottleneck) และอุปสงค์ทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างดีขึ้นจากปัจจัยตามฤดูกาล ด้านธุรกิจแพคเกจจิ้งมีการขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำ (Downstream) ในภูมิภาคอาเซียนให้เติบโตยิ่งขึ้น และกระจายฐานลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 และกำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้นร้อยละ 114 สาเหตุหลักจากธุรกิจเคมิคอลส์มีส่วนต่างราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น
ในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 เอสซีจีมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) 41,475 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 ของรายได้จากการขายรวม ทั้งนี้ ยังมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development – NPD) และ Service Solution เช่น โซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy Solution) โซลูชันบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart and Functional Solutions) คิดเป็นร้อยละ 13 และ 5 ของรายได้จากการขายรวม
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ทั้งสิ้น 51,104 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42 ของรายได้จากการขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 มีมูลค่า 800,932 ล้านบาท โดยร้อยละ 38 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน
ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2564 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้
- ธุรกิจเคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 51,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงของโรงงาน MOC ในไตรมาสก่อน และการเริ่มผลิตของโครงการ MOC Debottleneck ในไตรมาสนี้ และเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 8,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 51 จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นร้อยละ 397 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากบริษัทกรุงเทพ ซินธิติกส์ จำกัด หรือ BST ที่เป็นผู้ผลิตน้ำยางสังเคราะห์ไนไตรล์รายเดียวในประเทศไทย เพื่อการผลิตถุงมือยางไนไตรล์สำหรับแพทย์
- ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 46,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการสินค้าและบริการในภูมิภาคที่ลดลง และการซ่อมบำรุงตามแผนของโรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศกัมพูชา โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากปัจจัยตามฤดูกาล
- ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีรายได้จากการขาย 27,253 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 44 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของความต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภคในอาเซียน ราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคปรับตัวสูงขึ้น การรุกขยายพอร์ตสินค้าบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำ และบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าเพื่อสุขอนามัย ฯลฯ การปรับตัวอย่างรวดเร็วด้วยการกระจายฐานลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงกลยุทธ์ Merger & Partnership หรือ M&P ได้แก่ การเข้าลงทุนใน Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ประเทศเวียดนาม และการเข้าลงทุนใน Go-Pak UK Limited เพื่อขยายฐานตลาดบรรจุภัณฑ์อาหารในภูมิภาคต่าง ๆ รองรับเมกะเทรนด์
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “ผลประกอบการของไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง เอสซีจีจึงเตรียมความพร้อมด้วยการปรับตัวให้มีความยืดหยุ่น (Resiliency) เช่น เพิ่มสัดส่วนการขายนวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุน โดยยังคงรักษาความปลอดภัยด้วยการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด 19 อย่างเคร่งครัด ทั้งกับพนักงาน ลูกค้า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดกระบวนการทำงาน เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจ ส่งมอบสินค้า บริการ และโซลูชันครบวงจรต่าง ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง (Business Continuity Management หรือ BCM)
ขณะเดียวกัน เอสซีจีได้มุ่งดำเนินทุกธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวคิด ESG (Environmental, Social and Governance – ESG) โดยเร่งพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการ พร้อมโซลูชันครบวงจรด้าน Circular Economy, Medical & Healthcare และยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle หรือ EV) ที่กำลังเติบโตสูง โดยล่าสุดได้ลงนามในสัญญาซื้อหุ้นในบริษัท Recycled Plastic ในประเทศโปรตุเกส เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและการเติบโตในระยะยาว
ปัจจุบัน เอสซีจีมีสินค้าในกลุ่ม SCG Green Choice ที่ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ลดการใช้พลังงาน และยืดอายุ การใช้งานสินค้า เพื่อเป็นทางเลือกในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้กับผู้บริโภค จำนวนสินค้า 103 รายการ และมุ่งขยายเป็น 135 รายการ ภายในปีนี้ โดยในไตรมาสที่ 1 มีรายได้จากการขายสินค้า SCG Green Choice เท่ากับ 45,635 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37 ของรายได้จากการขายรวม
นอกจากนี้ เอสซีจีได้เพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) สำหรับกระบวนการผลิต โดยในปี 2563 มีสัดส่วนการใช้เท่ากับ 88,125 เมกะวัตต์-ชั่วโมง และในช่วงสองเดือนแรกของไตรมาสที่ 1 ปี 2564 เท่ากับ 14,769 เมกะวัตต์–ชั่วโมง เช่นเดียวกับพลังงานทางเลือก (Alternative Fuel) ที่มีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้น เพื่อให้บรรลุนโยบายลดสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (Zero Coal Initiative) โดยในปี 2563 มีสัดส่วนการใช้เท่ากับร้อยละ 14.3 ในขณะที่ในช่วงสองเดือนแรกของไตรมาสที่ 1 ปี 2564 มีสัดส่วนการใช้เท่ากับร้อยละ 16.0
สำหรับธุรกิจเคมิคอลส์ ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวคิด ESG เพื่อมุ่งสู่การเป็น “ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน” ซึ่งนอกจากจะเน้นการขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) อาทิ SMX™ HDPE และ HDPE Pipe PE112 แล้ว ยังเร่งการเข้าสู่ธุรกิจที่ตลาดมีการเติบโตสูง เช่น ธุรกิจด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ล่าสุด ได้เข้าสู่ธุรกิจด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนในยุโรป ด้วยการลงนามในสัญญาซื้อหุ้นบริษัท ซีพลาสต์ (Sirplaste) ผู้ประกอบธุรกิจและผู้นำด้านพลาสติกรีไซเคิลในประเทศโปรตุเกส ซึ่งนอกจากจะส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนแล้ว ยังสามารถนำความได้เปรียบนี้ไปพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยีรีไซเคิลในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งขยายช่องทางการขายในตลาดยุโรปได้
นอกจากนี้ โครงการขยายกำลังการผลิตของโรงงาน MOC Debottleneck ซึ่งธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี และ DOW ได้ร่วมมือกันดำเนินโครงการ ก่อสร้างแล้วเสร็จเร็วกว่าแผนและเริ่มทดลองดำเนินการผลิตแล้ว คาดว่าจะผลิตได้เต็มกำลังภายในเดือนพฤษภาคม 2564 จะทำให้มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้น 350,000 ตันต่อปี ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ทำให้กระบวนการผลิตมีต้นทุนการลงทุนที่ต่ำลง และยังทำให้ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Process) ในส่วนของโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนามคืบหน้าตามแผนร้อยละ 76 โดยจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในครึ่งปีแรกของปี 2566
นอกจากนี้ เอสซีจีอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างธุรกิจเคมิคอลส์ รวมถึงการเสนอขายหุ้น SCG Chemicals ต่อประชาชนทั่วไป เพื่อรองรับโอกาสในการขยายธุรกิจเคมิคอลส์ในอนาคต เช่น ความเป็นไปได้ในการขยายกำลังการผลิตในภูมิภาคอาเซียน และการลงทุนอื่น ๆ ซึ่งคาดว่าการศึกษาและการปรับโครงสร้างดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2565
ส่วนธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ยังคงเติบโตอย่างมีคุณภาพ ผ่านการนำเสนอสินค้า บริการ และโซลูชันครบวงจร ตอบโจทย์การก่อสร้างและการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ESG อาทิ โซลูชัน Green Construction ของ CPAC ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยยกระดับมาตรฐานงานก่อสร้างของไทยให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการด้วย CPAC Construction Solution เช่น CPAC BIM, CPAC Drone, CPAC 3D Printing และ CPAC Smart Structure ตั้งเป้าเปลี่ยนของเสียจากงานก่อสร้างให้เกิดประโยชน์คืนกลับสู่สังคม (Waste to Wealth) ในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ประมาณร้อยละ 10-20
นอกจากนี้ ธุรกิจได้ขยายตลาด SCG Solar Roof Solution ทั้งลูกค้ากลุ่มเจ้าของบ้าน (Residential) และกลุ่มผู้ประกอบการ (Non- Residential) ที่ใช้ไฟในตอนกลางวันต่อเนื่อง ตอบโจทย์ความต้องการลดรายจ่ายค่าไฟฟ้า และเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดในภาคประชาชนให้สูงขึ้น โดยตั้งเป้ายอดขายรวม 600 ล้านบาท ในปี 2564 และล่าสุดได้เปิดตัว EV Solution Platform โซลูชันที่ให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาดครบวงจร เพื่อรองรับการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม
ขณะเดียวกัน ธุรกิจได้เปิดตัว SCG D’COR (เอสซีจี เดคคอร์) วัสดุตกแต่งทางเลือกใหม่ พร้อมบริการ SCG D’COR Facade Solution ตอบรับการก่อสร้างที่ต้องการทั้งความสวยงามและประสิทธิภาพการใช้งาน และจะขยายสาขา SCG HOME เพิ่มอีก 33 สาขา รวมเป็น 50 สาขา ภายในปีนี้ ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้งพัฒนา SCGHOME.com ให้เป็น Super Platform ของการทำบ้านที่ครบวงจรที่สุด เชื่อมต่อระหว่างหน้าร้านและระบบออนไลน์ ตามแนวคิด Active Omni-channel เป็นเพื่อนคู่คิดให้ลูกค้าตั้งแต่การวางแผน การปรับปรุงบ้าน จนถึงการเข้าอยู่อาศัย
ขณะที่ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ยังคงเติบโตได้ดี ด้วยการนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน โดยดำเนินงานตามโมเดลธุรกิจที่มุ่งขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำ (Downstream) สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคอาเซียน รุกขยายกำลังการผลิตและผนึกกำลังระหว่างฐานการผลิตต่าง ๆ ซึ่งได้เปิดดำเนินการโรงงานผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์กำลังผลิตส่วนเพิ่ม 400,000 ตันต่อปี ของ Fajar ในประเทศอินโดนีเซีย และการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์อีกกว่า 347 ล้านชิ้นต่อปี ในบริษัทวีซี่ แพ็คเกจิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจ ยังสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งสินค้าทางเรือได้ดี ทำให้สามารถรองรับความต้องการของตลาดที่ฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน ธุรกิจได้พัฒนานวัตกรรมโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ล่าสุดได้พัฒนา OptiBreath® บรรจุภัณฑ์ที่ช่วยคงความสดของผักผลไม้ให้นานขึ้น ลดการเน่าเสียและข้อจำกัดทางการขนส่ง ด้วยเทคโนโลยีของฟิล์มที่ช่วยควบคุมการผ่านเข้าออกของก๊าซและไอน้ำ และ Odor LockTM บรรจุภัณฑ์ที่ช่วยเก็บกลิ่นอาหาร สะดวกต่อการขนส่งและวางจำหน่ายร่วมกับสินค้าอื่น โดยวางจำหน่ายแล้วในร้านค้าออนไลน์ เพื่อรองรับความต้องการของผู้ประกอบการและผู้บริโภคในฤดูกาลผลไม้นี้
สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ระลอกสามนี้ ค่อนข้างรุนแรง และส่งผลกระทบด้านสุขภาพและเศรษฐกิจในวงกว้าง ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามเต็มที่ในการดูแลสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัปดาห์นี้ ที่ภาครัฐได้ยกระดับมาตรการให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดี และเชื่อว่า หากพวกเราทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาลอย่างเคร่งครัด เช่น ช่วยกัน Work from Home ให้มากที่สุด สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือให้สะอาด และเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ฯลฯ ก็จะช่วยให้เราผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้
สำหรับการผลิตวัคซีนป้องกันโควิค 19 “แอสตราเซเนก้า” โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด มีความคืบหน้าด้วยดี ล่าสุด อย. ได้อนุมัติให้บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นฐานการผลิตวัคซีนที่มีมาตรฐานสูง ซึ่งจะทำให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางในการผลิตและกระจายวัคซีนไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้สามารถเข้าถึงวัคซีนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยจะเริ่มทยอยฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้
ขณะเดียวกัน มูลนิธิเอสซีจี เอสซีจี และเอสซีจีพี ได้กระจายความช่วยเหลือไปยัง 270 หน่วยงานใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะเร่งด่วนให้กับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ด้วยนวัตกรรม “เตียงสนามกระดาษเอสซีจีพี (SCGP Paper Field Hospital Bed)” จำนวน 22,000 ชุด ที่ผลิตจากกระดาษรีไซเคิล ออกแบบตามหลักการยศาสตร์ รองรับการใช้งานตามสรีระของคนเอเชีย รับน้ำหนักได้ 100 กิโลกรัม ขนส่งและประกอบได้ง่าย รวมถึงนวัตกรรม “ห้องน้ำสำเร็จรูป Modular Bathroom” นวัตกรรม “ห้องความดันอากาศบวก (Positive Pressure Room)” และอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่น ๆ
นอกจากนี้ เอสซีจี หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และบริษัทชั้นนำ จะช่วยสนับสนุนภาครัฐในการกระจายวัคซีนให้รวดเร็ว เกิดประสิทธิภาพ และทั่วถึงมากที่สุด ทั้งด้านอุปกรณ์ บุคลากร งบประมาณ และสถานที่ โดยเอสซีจีได้จัดเตรียมพื้นที่บริเวณสำนักงานใหญ่เอสซีจี บางซื่อ ให้เป็น “สถานีฉีดวัคซีน” สำหรับประชาชน โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนมิถุนายนนี้ ผมหวังว่า ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการดูแลตนเองของเราทุกคน จะช่วยให้เราผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ด้วยกัน ขณะเดียวกัน ก็จะนำไปสู่การฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาคึกคักได้โดยเร็ว”
Published on: Apr 29, 2021