เอสซีจี เปิดกลยุทธ์ธุรกิจโลจิสติกส์ มุ่งโซลูชั่นครบวงจร มอบความสำเร็จให้ลูกค้าทุกขนาด ด้วยเครือข่ายขนส่ง คลังสินค้า รถ เรือ ทั่วอาเซียน ใส่ใจทุกขั้นตอนการขนส่งจากต้นทางถึงปลายทาง และแอปพลิเคชันติดตามสถานะสินค้าแบบเรียลไทม์ 24 ชม. ยืนยันส่งสินค้าถึงมือลูกค้าได้รวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัย การันตีด้วยยอดส่งสินค้า 3.6 ล้านตัน หรือกว่า 1.7 ล้านเที่ยวต่อปี ชี้ธุรกิจมีศักยภาพเติบโตสูง ตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้กว่า 17,000 ล้านบาท หรือโตขึ้นราว 10% จากปีที่ผ่านมา ขณะที่บริการส่งพัสดุให้ลูกค้ารายย่อย SCG Express ลูกค้าตอบรับดีเยี่ยม ส่งผลยอดการใช้บริการทั้งปีเพิ่มสูงขึ้น 4 เท่าจากช่วงที่เปิดตัว เผยเตรียมเปิดโซลูชั่นบริการใหม่ๆ สำหรับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม อาทิ บริการส่งถุงกอล์ฟ พร้อมขยายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศในกลางปีนึ้
นายนิธิ ภัทรโชค Vice President – Building Products and Distribution Business เอสซีจี ซิเมนต์ – ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เปิดเผยว่า “ปี 2560 ที่ผ่านมา เอสซีจีได้เร่งพัฒนาการให้บริการโลจิสติกส์เพื่อตอบรับทุกความต้องการของตลาดและผู้บริโภคที่มีการเติบโตสูงขึ้นมาก รวมถึงการผลักดันศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจแก่ลูกค้าองค์กรในกว่า 8 กลุ่มอุตสาหกรรมทั้งไทยและอาเซียนด้วยบริการขนส่งมาตรฐานสูงที่เน้นความรวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัยของเอสซีจี โลจิสติกส์ โดยสามารถสร้างรายได้รวมกว่า 16,000 ล้านบาท โตขึ้นราว 7% เทียบจากปี 2559 ซึ่งมียอดการให้บริการกว่า 1.7 ล้านเที่ยว และยอดการส่งสินค้า 3.6 ล้านตัน”
สำหรับปี 2561 เอสซีจียังคงมุ่งมั่นการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง โดยเน้นกลยุทธ์สำคัญด้านการบริการโลจิสติกส์ที่ช่วยส่งมอบความสำเร็จด้วยการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและการดำเนินธุรกิจให้แก่ลูกค้าทุกระดับ อาทิ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์สู่ระบบ Track & Trace ที่จะช่วยให้ลูกค้าองค์กรและผู้ประกอบการ SMEs สามารถติดตามสถานะการจัดส่งสินค้าและวัสดุต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ ผ่านแอปพลิเคชันพร้อมทีมงานมืออาชีพที่คอยให้บริการด้วยความใส่ใจในทุกขั้นตอนการจัดส่งตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางตลอด 24 ชั่วโมง ใน 7 วัน ผ่าน Logistic Command Center หรือศูนย์ควบคุมระบบโลจิสติกส์ เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าสินค้าจะถูกส่งมอบถึงมือผู้รับปลายทางด้วยมาตรฐานการส่งที่รวดเร็ว แม่นยำ ปลอดภัย และสามารถดูแลคุณภาพสินค้า รวมถึงลดความเสียหายระหว่างการจัดส่งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการครบวงจรสำหรับการนำเข้า–ส่งออกสินค้า ตั้งแต่การเริ่มต้นออกเอกสาร จองสายเรือ พิธีการศุลกากร ไปจนถึงบริการโลจิสติกส์ซึ่งจะช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าตลอดทุกขั้นตอนได้เป็นอย่างดี
“เอสซีจี ยังเดินหน้าความร่วมมือกับดิจิทัลสตาร์ทอัพยกระดับการบริการที่เชื่อมโยงทุกความต้องการของผู้ประกอบการและเครือข่ายรถบรรทุกของบริษัทฯ ที่พร้อมให้บริการกว่า 7,000 คันทั่วประเทศ เข้าด้วยกันผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ช่วยส่งมอบบริการโลจิสติกส์ที่ดีกว่า รวดเร็วกว่า และสามารถตรวจสอบได้ นำไปสู่การตอบโจทย์ภาคธุรกิจที่ขยายตัวและความต้องการบริการขนส่งที่กำลังเติบโตทั่วอาเซียน อีกทั้งยังมุ่งเน้นการช่วยลดต้นทุนการเดินรถต่อเที่ยว ผ่านการบริหารสินค้าขาไปและขากลับ (Headhaul-Backhaul Management) ที่สามารถลดการขนส่งเที่ยวเปล่า รวมถึงการขนส่งโดยใช้พาหนะหลายรูปแบบ (Multimodal) ทั้งรถบรรทุกและเรือส่งสินค้าช่วยลดระยะทางในการขนส่ง นำไปสู่การบริหารจัดการที่เหมาะสมทั้งงบประมาณและจำนวนเที่ยวการขนส่ง เพื่อรองรับทุกความต้องการในการดำเนินธุรกิจของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ายิ่งขึ้น” นายนิธิกล่าว
สำหรับการบริการขนส่งพัสดุด่วนหรือ SCG Express ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเอสซีจี และ Yamato Asia Pte. Ltd. หรือแมวดำ นั้น นายนิธิกล่าวเสริมว่า “ตั้งแต่การเปิดตัวในปีที่ผ่านมา SCG Express ได้รับกระแสตอบรับที่ดีและความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก ด้วยมาตรฐานการให้บริการที่มีความสะดวก รวดเร็ว เอาใจใส่ในทุกขั้นตอนการจัดส่ง เป็นรายแรกและรายเดียวในตลาดที่มีนวัตกรรมการจัดส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ Cool TA-Q-BIN บริการขนส่งที่ดูแลคุณภาพสินค้าที่มีมูลค่าสูง และมีการขยายการให้บริการไปยังพื้นที่จังหวัดต่างๆ ทำให้มียอดการใช้บริการทั้งปีเพิ่มสูงขึ้น 4 เท่า เทียบกับตอนเปิดตัวในช่วงต้นปี 2560 ทั้งนี้ SCG Express ได้ขยายจุดบริการรวมแล้วกว่า 500 สาขา และมีแผนจะขยายพื้นที่บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศในช่วงกลางปี 2561 เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ e-commerce รวมทั้งยังเตรียมเพิ่ม Service Solutions ใหม่สำหรับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น บริการจัดส่งกระเป๋าเดินทางและอุปกรณ์กีฬาที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และบริการ Farm to table บริการขนส่งสินค้าการเกษตรออร์แกนิคจากฟาร์ม ส่งตรงไปยังผู้บริโภคในพื้นที่ต่างๆ อีกด้วย
นอกจากนี้ เอสซีจียังผลักดันกลยุทธ์การสร้างมาตรฐานและความยั่งยืนในธุรกิจโลจิสติกส์ โดยส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะการทำงานที่เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและในระดับภูมิภาค ผ่าน “โรงเรียนทักษะพิพัฒน์” (Skills Development School) เพื่อร่วมพัฒนาทักษะและฝีมือแรงงานด้านการขับรถ รวมทั้ง มารยาทในการให้บริการที่มีมาตรฐานและเน้นความปลอดภัย โดยเปิดให้บริการมาแล้ว 12 ปี และมีผู้เข้าอบรมแล้วกว่า 143,000 คน ทั้งที่เป็นบุคลากรภายในและภายนอกบริษัทฯ อีกด้วย
“เอสซีจี เชื่อมั่นว่าธุรกิจโลจิสติกส์ยังสามารถเติบโตและขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง และด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร ทั้งการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจให้ลูกค้าองค์กรทุกระดับ และการยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้ารายย่อยที่ใช้บริการขนส่ง เพื่อให้ธุรกิจโลจิสติกส์ ของเอสซีจีสามารถเติบโตขึ้นตามแผน โดยได้ตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ไว้กว่า 17,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมา” นายนิธิกล่าวในตอนท้าย