รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส เปลี่ยน SCG ให้แข่งได้ในระดับโลก

หลังจากพยายามนัดหมายกันมาตั้งแต่ก่อนปีใหม่ในที่สุด Forbes Thailand ก็มีโอกาสได้นั่งจับเข่าคุยเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเต็มกับ รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ผู้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน พร้อมกับภารกิจสำคัญในการทรานส์ฟอร์มองค์กรธุรกิจขนาด 5 แสนล้านบาท (ทั้งในแง่สินทรัพย์ รายได้ และมูลค่าตลาด) ที่มีอายุกว่า 100 ปี

จากการเป็น “pure manufacturer” ไต่ระดับขึ้นสู่ระดับยอดของห่วงโซ่อุปทานไปสู่การเป็นผู้ผลิตที่มีนวัตกรรม หรือ “differentiated technology” ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค รวมทั้งการต่อยอดไปสู่การเป็นผู้นำเสนอบริการโซลูชั่นและการค้าปลีก เชื่อมตรงสู่ผู้บริโภค (B2C) พร้อมๆ กับเร่งขยายฐานการผลิตและจัดจำหน่ายอย่างครบวงจรไปสู่ตลาดในภูมิภาคอาเซียน และมองหาโอกาสในการขยายไปตลาดใหม่ๆ เช่น อินเดีย และจีน

รุ่งโรจน์ ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจีบอกว่ากลยุทธ์และทิศทางธุรกิจในแต่ละธุรกิจมีความแตกต่างกัน โดยการเปลี่ยนแปลงสำคัญของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (CBM) ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ธุรกิจหลักของเอสซีจี คือการชิฟต์จาก “pure manufacturing” มาสู่การทำธุรกิจ จัดจำหน่ายและค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านที่ผนวกรวมการให้บริการและโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างครบวงจร โดยเปลี่ยนมุมมองการจัดจำหน่ายจากการเป็น “เอาท์เล็ท” ของสินค้าที่บริษัทผลิต มาเป็นการทำธุรกิจค้าปลีกอย่างจริงจังที่เสริมทัพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพราะเห็นศักยภาพในธุรกิจนี้ที่มีการเติบโตที่ดีและสามารถขยายกิจการไปในภูมิภาคอาเซียนได้

“เรามองว่าธุรกิจซีเมนต์ วัสดุก่อสร้างด้านหนึ่งเราทำเรื่องเกี่ยวกับการผลิต ปูนหลังคา ผนัง อะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่เรามองว่าในอีกด้านหนึ่ง ตลาดที่ไปได้ดีคือเรื่องของการรีเทลสินค้าที่เราเรียกว่า home living products มันก็คือสินค้าวัสดุก่อสร้างตกแต่งต่างๆ เหล่านี้ คือเรามองว่าตลาดนี้จริงๆ แล้วเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีกำลังซื้อค่อนข้างมาก…ก็ลงทุนในโกลบอลเฮ้าส์มาหลายปีแล้ว ก็รู้สึกว่ามันไปได้ดีนะ”

คลิกเพื่ออ่านฉบับเต็ม “รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส เปลี่ยน SCG ให้แข่งได้ในระดับโลก” ได้ที่ http://bit.ly/2wVMSTl

(Visited 733 times, 1 visits today)