SCGP “เอสซีจี แพคเกจจิ้ง” เป็น Case study หนึ่งของบิสซิเนสทรานส์ฟอร์เมชั่น ที่น่าสนใจ อย่างมาก ๆ จากธุรกิจกระดาษพิมพ์เขียนที่เคยเป็นดาวรุ่ง กลับถูกดิสรัปชั่นอย่างหนักในโลกดิจิทัลจนกลายเป็นดาวร่วง แต่ก็ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง จนวันนี้เป็นบริษัทแรกในรอบ 107 ปีของเอสซีจีที่ถูกนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ในรูปแบบของ IPO ด้วยศักยภาพในการเติบโตแบบก้าวกระโดด
และกำลังถูกจับตามอง ว่าจะสามารถเป็นหุ้นแชมเปี้ยนตัวใหม่ ในยุคนิวอีโคโนมีได้หรือไม่ ในที่สุด บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง หรือ SCGP ประกาศความพร้อมที่จะทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้สถานการณ์โควิดคลี่คลาย อีกต่อไป เพราะ ในวันนี้ SCGP ถูกบ่มจนได้ที่ ตามไปดูการเติบโตหลังการเปลี่ยนแปลงที่มีมาแต่ละครั้ง และมองภาพต่อในอนาคตหลังการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ขององค์กรแห่งนี้กัน
45 ปี ของการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
จากบริษัทเยื่อกระดาษสยามในปี 2518 ที่ผลิตผลิตภัณฑ์กล่องลูกฟูก และเยื่อกระดาษเป็นหลัก ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งแรกโดยเข้าสู่ธุรกิจกระดาษพิมพ์เขียนในปี 2526 เมื่อยุคสิ่งพิมพ์เบิกบานในปี 2550 ก็เปลี่ยนบิสซิเนสโมเดลอีกครั้งเป็น บริษัท เอสซีจี เปเปอร์ จำกัด เพื่อสะท้อนให้เห็นธุรกิจหลักชัดเจนขึ้น โดยมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ของกระดาษเกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลานั้น ภายใต้คำว่า “ ไอเดียกรีน” และกลายเป็น 1 ในธุรกิจหลักที่สำคัญของเอสซีจี
ในวันที่เอสซีจี เปเปอร์ กำลังภูมิใจกับตำแหน่งผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กระดาษที่ครบวงจรรายใหญ่ของอาเซียน โลกดิจิทัลก็เข้ามาเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของผู้คน ความต้องการใช้กระดาษพิมพ์เขียนได้ลดลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจนี้ถูกดิสรัปชั่นก่อนกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด
การพลิกแบรนด์ครั้งสำคัญเลยเกิดขึ้นเมื่อปี 2558
จาก “เอสซีจี เปเปอร์” กลายเป็น “เอสซีจี แพคเกจจิ้ง” ที่ไม่ได้มีแต่กระดาษอย่างเดียวอีกต่อไป แต่มีผลิตภัณฑ์มากมายตามไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่หลากหลายถึง 1.2 แสนรูปแบบ (SKUs) มีการปรับโมเดลธุรกิจจากอุตสาหกรรมการผลิตสู่การเป็น Packaging Solutions Provider โดยมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจทั้งแบบ B2B, B2B2C และ B2C พร้อม ๆ กับการขยายบิสซิเนสโมเดลนี้ไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน และการตั้งเป้าหมายเป็น “ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน” ปัจจุบัน SCGP มีส่วนแบ่งการขายในอาเซียน 36% (จากข้อมูลของฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน ส.ค. 63)
ได้เวลา SCGP ติดปีกบินหนีวิกฤตโควิด
วันนี้ ในขณะที่ธุรกิจเคมิคอลล์ที่เคยทำกำไรและรายได้สูงสุดให้กับเอสซีจีมานาน อ่อนแอลง และอยู่ในช่วงขาลงสุด ๆ เช่นเดียวกับธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่กำลังเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจเพราะโควิด-19 SCGP กลับรุ่งโรจน์สุดโต่งเหมือนกัน จากการเติบโตของกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดใหญ่ในอาเซียน
การระบาดของโรคโควิด-19 ที่อาจจะเป็นปัญหาในหลายธุรกิจกลับเป็นปัจจัยบวกให้กับบรรจุภัณฑ์สำหรับอีคอมเมิร์ซ ฟู้ดเดลิเวอรี่ อาหารส่งออก สินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน และกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพและสุขอนามัย การเข้าไปเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ คือ Big Story ของการเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุด ในวันที่ SCGP มีความพร้อมที่สุด
นอกจากการระดมทุนเพื่อเอาเงินไปขยายธุรกิจให้เติบโตและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก การตัดสินใจครั้งนี้คือวิสัยทัศน์ของผู้นำ ที่ต้องการจะออกจาก Crisis ในขณะที่องค์กรกำลังแข็งแรงที่สุดด้วย ปัจจุบัน SCGP มี 40 โรงงานใน 5 ประเทศ คือ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย โดยในแต่ละประเทศกำลังขยายการผลิตอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2563-2564 นี้ มีค่าลงทุนรวมใน 4 ประเทศ ไม่รวมมาเลเซีย ถึง 8,200 ล้านบาท ลงทุนสูงที่สุดถึง 5,388 ล้านบาท คือเรื่องของกระดาษบรรจุภัณฑ์ ในประเทศฟิลิปปินส์ ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2564 ทุกประเทศของการปักหมุดลงทุน ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของบริษัทแม่ที่มีอายุกว่าศตวรรษ