SCGP เผยผลงานไตรมาส 2 เดินหน้าตามกลยุทธ์แข็งแกร่งในอาเซียน หนุนศักยภาพแข่งขันด้วย AI เทคโนโลยี–ความยั่งยืน เตรียมจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.25 บาท/หุ้น

SCGP แถลงผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2568 ทำรายได้จากการขาย 31,557 ล้านบาท EBITDA 4,257 ล้านบาท และกำไรสำหรับงวด 1,010 ล้านบาท จากกลยุทธ์มุ่งขายในประเทศอาเซียน รับแรงหนุนจากการใช้บรรจุภัณฑ์ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น การบริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพิ่มประสิทธิภาพจัดการต้นทุน ยกระดับความยั่งยืน เดินแผนรับเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง รุกธุรกิจบรรจุภัณฑ์ เสริมแกร่งโซลูชันบรรจุภัณฑ์ เพื่อมอบประสบการณ์และคุณค่าแก่ลูกค้า รับดีมานด์ในภูมิภาค ที่เติบโตต่อเนื่อง เผยกลยุทธ์เชิงรุก “ห่วงโซ่การผลิตที่ยืดหยุ่น” รับมือนโยบายภาษี และเร่งปรับเร็วผ่านทีมบริหาร ระดับภูมิภาค (Regional Management) ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล อัตรา 0.25 บาท/หุ้น

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน)

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ภูมิภาคอาเซียนในไตรมาส 2 ปี 2568 ได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ ของประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่ ยังอยู่ในระดับสูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงการเร่งส่งออกสินค้า ของประเทศต่าง ๆ ไปยังสหรัฐอเมริกา ก่อนถึงกำหนดการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค และในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่เติบโตต่อเนื่อง

รายได้จากการขาย

SCGP ได้วางกลยุทธ์เติบโตภายในประเทศอาเซียนอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการตลาดเชิงรุกผ่านโซลูชันบรรจุภัณฑ์ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ส่งผลให้ปริมาณการขายสินค้ากลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร โดยเฉพาะในเวียดนามเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ราคาส่วนใหญ่ยังทรงตัว ส่วนกลุ่มธุรกิจเยื่อและกระดาษ ปริมาณการขายลดลงจากความต้องการที่ชะลอตัว ในกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้เน้นบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน ด้วยการใช้ AI และ Machine Learning ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า โดยเฉพาะธุรกิจในอินโดนีเซียที่เริ่มนำ AI มาปรับใช้ และปรับสัดส่วนการใช้พลังงาน รวมถึงเพิ่มการใช้วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) ภายในประเทศ และบริหารต้นทุนทางการเงิน อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ EBITDA ถึงจุดคุ้มทุนตามเป้าหมาย และส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงาน ของบริษัทฯ ทำให้ในไตรมาส 2 ปี 2568 SCGP มีรายได้จากการขาย 31,557 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 EBITDA 4,257 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 และกำไรสำหรับงวด 1,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2568

นายวิชาญ กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครึ่งปีหลัง คาดว่าอาเซียนจะมีความต้องการบรรจุภัณฑ์ ภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคาดการณ์จีดีพีเติบโตสูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ รวมถึงการเติมสต๊อกสินค้า ในช่วงสิ้นปี ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) และค่าขนส่ง มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ตามความต้องการในภูมิภาคที่ปรับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามผลกระทบ จากมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) จากประเทศที่ยังไม่มีข้อสรุป

สัดส่วนรายได้จากการขายแบ่งตามประเทศลูกค้า ครึ่งปีแรก 2568

บริษัทฯ ได้เดินหน้ากลยุทธ์ขยายธุรกิจ ในกลุ่มที่มีศักยภาพเติบโตสูง ล่าสุด ได้ลงทุนเพิ่มใน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ประเทศเวียดนาม เพื่อเพิ่มโซลูชัน ความหลากหลายและครบวงจร ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดอาเซียนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เร่งขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ เพื่อผู้บริโภคตามกลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่ง ให้กับฐานการดำเนินธุรกิจในเวียดนาม ที่มีศักยภาพสูงในภูมิภาค และเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และการแข่งขันในระยะยาว

ด้านการรับมือมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) ปัจจุบัน SCGP มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ ประมาณร้อยละ 4 ของรายได้รวม ผ่านการส่งออกสินค้าเพื่อผู้บริโภค ทำให้มีผลกระทบจำกัด อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์เชิงรุก เพิ่มการขายบรรจุภัณฑ์ ภายในประเทศในอาเซียน และส่งออกไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย บังคลาเทศ ออสเตรเลีย เป็นต้น พร้อมใช้จุดแข็งจากห่วงโซ่การผลิตที่ยืดหยุ่น ฐานการผลิตที่หลากหลายในอาเซียน ครอบคลุมพอร์ตสินค้า และโซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ที่สามารถผสานการผลิตและวัตถุดิบ รวมถึงวางแผนร่วมกับลูกค้า และการพิจารณาการจ้างผลิต เพื่อให้ได้ต้นทุนที่แข่งขัน ได้ในแต่ละตลาด

EBITDA

SCGP เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและระบบ AI อย่างเป็นระบบ ยกระดับประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่การผลิต ลดต้นทุน และเสริมความยั่งยืนระยะยาว โดยใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น Robotic Automation ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความปลอดภัย ในกระบวนการผลิต การประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการผลิตแบบเรียลไทม์ และบริหารการผลิตระหว่างโรงงาน (Cross-plant Allocation) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลด Lead Time ฯลฯ ช่วยลดต้นทุน และสร้างมูลค่าทางธุรกิจรวม 120 ล้านบาทในครึ่งปีแรก

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขับเคลื่อน ESG และเศรษฐกิจหมุนเวียน ตามแนวทางความยั่งยืนในระดับสากล โดยได้รับรางวัล Platinumจาก EcoVadis ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 อีกทั้งยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ไปแล้วกว่า 169 ผลิตภัณฑ์ และ 16 กระบวนการ หรือคิดเป็นร้อยละ 50 จากเป้าหมายครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568

กำไรสำหรับงวด

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 อัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,073 ล้านบาท โดยจะขึ้น XD วันที่ 8 สิงหาคม 2568 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และเตรียมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล วันที่ 27 สิงหาคม 2568

Published on: Jul 29, 2025

(Visited 34 times, 34 visits today)