SCGP ดำเนินกลยุทธ์ขยายการลงทุนในอินโดนีเซีย เสริมความแข็งแกร่ง สร้างการเติบโตของธุรกิจในอาเซียน

SCGP เข้าถือหุ้นเพิ่มเติมใน PT Fajar Surya Wisesa Tbk. ในสัดส่วนร้อยละ 44.48 ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเชิงกลยุทธ์ การขยายการเติบโตของธุรกิจในอาเซียน เพื่อรองรับตลาดแข็งแกร่งของประเทศอินโดนีเซีย และเป็นรากฐานในการเติบโตของ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรให้ SCGP ในระยะยาว วางแผนเดินหน้า เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนพลังงานใน Fajar ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและความต้องการบรรจุภัณฑ์ของตลาดที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากการบริโภคในประเทศและการส่งออก

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมในสัดส่วนร้อยละ 44.48 ใน PT Fajar Surya Wisesa Tbk. (Fajar) ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย ด้วยกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ 1.8 ล้านตันต่อปี โดยมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่กระดาษลอนลูกฟูก (Corrugated medium) กระดาษปิดผิวบรรจุภัณฑ์ลูกฟูก (Linerboard) กระดาษกล่องขาว (Duplex board) กระดาษทำแกน (Coreboard) มีรายได้ในปี 2566 ประมาณ 7,723 พันล้านรูเปียห์อินโดนีเซีย (IDR) หรือประมาณ 17,000 ล้านบาท และสินทรัพย์รวม 12,545 พันล้านรูเปียห์อินโดนีเซีย (IDR) หรือประมาณ 27,600 ล้านบาท ธุรกรรมดังกล่าวคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 652.42 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 23,000 ล้านบาท โดยภายหลังธุรกรรมเสร็จสิ้น จำนวนหุ้นที่ SCGP ถือใน Fajar จะเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 55.24 เป็นร้อยละ 99.72 ของจำนวนหุ้น ที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด โดยหุ้นที่เหลือจำนวนร้อยละ 0.28 จะถือครองโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย

“SCGP ขยายการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2556 เนื่องจากเป็นประเทศที่มีตลาดแข็งแกร่ง และมีศักยภาพที่จะมุ่งสู่การเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก จากจำนวนประชากร และอัตราการบริโภคสินค้าภายในประเทศที่สูง มีกลุ่มประชากรที่อายุน้อย และมีการลงทุนโดยตรง จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีบริษัทย่อย 6 บริษัท ประกอบด้วย ฐานการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ PT Fajar Surya Wisesa Tbk. และ PT Dayasa Aria Prima (บริษัทย่อยของ Fajar) และฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูก PT Primacorr Mandiri, PT Indorcorr Packaging Cikarang, PT Indoris Printingdo และ Intan Group ทำให้ SCGP สามารถนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร และช่วยส่งเสริมให้เกิด การประสานระหว่างธุรกิจ (Synergy) ทั้งนี้ SCGP วางแผนจะเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการผลิตของ Fajar ด้วยการนำองค์ความรู้ด้าน Machine Learning และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) มาใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงาน รวมถึงการจัดการด้านการผลิต และจัดจำหน่ายสินค้า และการขยายตลาดเพื่อเข้าถึงลูกค้าร่วมกับพันธมิตรให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งมองว่า ประเทศอินโดนีเซียมีแนวโน้มการฟื้นตัว ของความต้องการบรรจุภัณฑ์ จากการบริโภคในประเทศ และการส่งออก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ในขณะที่ระดับเงินเฟ้อ ของประเทศอินโดนีเซียมีแนวโน้มลดลง ซึ่งส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น ขณะเดียวกันปริมาณการขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ คาดว่ามีแนวโน้มดีขึ้น ตามความต้องการของผู้บริโภค ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศ ที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว การดำเนินงานของ SCGP ตามแผนธุรกิจที่เตรียมไว้ที่สอดคล้อง กับสภาวะเศรษฐกิจและการตลาด จะทำให้เพิ่มความสามารถการทำกำไรได้” นายวิชาญ กล่าว

Published on: Sep 2, 2024

(Visited 59 times, 2 visits today)