SCGP เผยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2567 ทำรายได้จากการขาย 68,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ของไตรมาสที่สอง 34,234 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและสายธุรกิจเยื่อและกระดาษที่เพิ่มขึ้น และความพยายามต่อเนื่อง ในการบริหารจัดการวัตถุดิบ และต้นทุนพลังงาน โดยมองแนวโน้มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครึ่งปีหลังเติบโตต่อ รุกขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่มีศักยภาพเติบโตสูง มุ่งพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม และการขอรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เพื่อร่วมมือกับลูกค้าลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ภาพรวมความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งได้รับแรงหนุนจาก จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหารแช่แข็งและอาหารกระป๋อง และบรรจุภัณฑ์กลุ่มสินค้าคงทน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และกลุ่มประเทศในยุโรป ส่วนธุรกิจเยื่อและกระดาษ ยอดขายบรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้น จากปัจจัยการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวควบคู่กับ การเติบโตของอุตสาหกรรมผลิตอาหาร และร้านอาหารบริการด่วน นอกจากนี้ความต้องการเยื่อ สำหรับใช้ในการผลิตสิ่งทอและเครื่องแต่งกาย ยังคงมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ความต้องการบรรจุภัณฑ์และกระดาษบรรจุภัณฑ์ บางส่วนได้รับผลกระทบจากวันหยุดยาวช่วงเทศกาลของประเทศไทย และประเทศอินโดนีเซียในไตรมาสที่ 2 รวมถึงราคาวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการ บรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้นทั้งภูมิภาค ขณะเดียวกันค่าขนส่งได้ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
SCGP มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ด้วยการมุ่งนำเสนอบริการด้านบรรจุภัณฑ์ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค และการบริหารจัดการ วัตถุดิบและต้นทุนพลังงานให้มีประสิทธิภาพ ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มีรายได้จากการขายเท่ากับ 68,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของทุกสายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การขยายตัวของภาคส่งออก และการฟื้นตัวของกลุ่มสินค้าคงทน มี EBITDA เท่ากับ 9,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวดเท่ากับ 3,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 มีรายได้จากการขาย 34,234 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น การท่องเที่ยวและส่งออกฟื้นตัว ส่งผลดีต่อยอดขายบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มากขึ้น EBITDA เท่ากับ 4,635 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 10 จากไตรมาสก่อนหน้า สำหรับกำไรสำหรับงวด 1,453 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา จากต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลที่ปรับขึ้น
ทั้งนี้ วันที่ 23 กรกฎาคม 2567 คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผล ระหว่างกาลจากผลการดำเนินงาน ครึ่งปีแรกของปี 2567 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 1,073 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในวันที่ 21 สิงหาคม 2567 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 6 สิงหาคม 2567 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 7 สิงหาคม 2567
นายวิชาญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากภาคการผลิต การบริการและการใช้จ่ายที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น รวมถึงการดำเนินนโยบายของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน คาดว่าช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะเริ่มผลิตเพื่อสต๊อกสินค้าเพิ่มขึ้นสำหรับ เตรียมรับการใช้จ่ายในช่วงปลายปี ในช่วงครึ่งปีหลัง SCGP มุ่งสร้างการเติบโตต่อเนื่อง โดยยังคงงบลงทุนรวมในปีนี้ประมาณ 15,000 ล้านบาท ด้วยการมุ่งเน้นการขยายกำลังการผลิต และสร้างการเติบโตร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ (Merger and Partnership : M&P) ในธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ล่าสุด SCGP ได้เข้าถือหุ้นร้อยละ 90 ในบริษัทวีอีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ที่มีความเชี่ยวชาญการผลิต ชิ้นส่วนสมรรถนะสูง จากการฉีดขึ้นรูปพอลิเมอร์และมีห้องปลอดเชื้อ ที่ได้รับรองมาตรฐานระดับสากล เพื่อรุกขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ และอุปกรณ์สำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการ
และล่าสุด SCGP ได้รับการรับรอง “คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์” จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ครอบคลุมกลุ่มสินค้าตั้งแต่ เยื่อกระดาษ กระดาษพิมพ์เขียน กระดาษถ่ายเอกสาร กระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์พลาสติก บรรจุภัณฑ์อาหาร และได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากกระบวนการพิมพ์และการขึ้นรูปบรรจุภัณฑ์กระดาษรวม 16 กระบวนการ ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์กระดาษ ที่สามารถระบุปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามกรอบแนวทางการประเมินของ อบก. เพื่อตอบสนองความต้องการใช้นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ เพื่อสิ่งแวดล้อมของลูกค้าและผู้บริโภค
Published on: Jul 24, 2024