จากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ได้กระทบกับเศรษฐกิจวงกว้าง โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้า ของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ดังนั้น ธุรกิจไทยจะต้องเร่งปรับตัวรับกับเทรนด์การยอมรับของผู้บริโภค ในตลาดการค้าหลักโดยเฉพาะสินค้าโลว์คาร์บอน
ในขณะที่สินค้าไร้มาตรฐานต่างล้นทะลัก เข้ามาจำนวนมากในประเทศไทย ส่งผลให้ภาคธุรกิจต่างต้องปรับตัวอย่างหนัก เพื่อหาตลาดใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มเอสเอ็มอีเท่านั้น องค์กรขนาดใหญ่สินทรัพย์กว่า 8 แสนล้านบาท อย่าง SCG ต้องมุ่งปรับ Portfolio พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่มในตัวสินค้าตอบรับกับผู้บริโภคทั่วโลก
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐ ส่งผลกระทบการค้าทั่วโลก ซึ่งไทยจะได้รับผลกระทบทั้งบวก และลบ เช่น เมื่อสินค้าจากจีนไม่สามารถส่งไปสหรัฐได้จะไหลเข้ามายังประเทศไทย และอาเซียน
ดังนั้น หากธุรกิจไทยไม่รีบปรับตัว อาทิ ด้านการลดต้นทุน จะโดน Pressure จากสินค้าราคาถูกจากจีน ที่มีขนาดที่ใหญ่กว่าไทยมาก และอีกมุมมองเมื่อจีนไม่สามารถขายไปสหรัฐได้จึงต้องซื้อขายกับกลุ่มอาเซียน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย รวมถึงไทย จึงเป็นกลยุทธ์ที่มองว่าจะทำอย่างไร ให้เราสามารถขายของเข้าสหรัฐได้
อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าของที่ขายให้เมืองไทยอยู่ๆ จะขายให้สหรัฐจะต้องเข้ากฎเกณฑ์ มาตรฐานของสหรัฐด้วย อาจใช้เวลาในการปรับตัวในบางสินค้า ซึ่งสินค้าใดปรับตัวได้ก่อนก็จะยังคงอยู่รอดได้ ดังนั้น สงครามการค้าที่เกิดขึ้นจึงมีทั้งโอกาส และความเสี่ยง สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เอสเอ็มอีที่อาจจะปรับตัวได้น้อยกว่า แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะมีมาตรการช่วยชะลอการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
“ภาครัฐอาจจะต้องชะลอการเอาสินค้าราคาถูกจากจีน เซฟการ์ด โปรโมตตัว Local Content ของจีนหรือประเทศอื่น ที่จะมาลงทุนในบ้านเราเพื่อ Support Local Economy เกิดการจ้างงานของประเทศไทยจะแก้ปัญหาระยะยาวได้”
ในอีกมุมสินค้าจากประเทศจีนที่เข้ามาไทยจำนวนมาก ในส่วนของ SCG เองมีความกังวลด้านผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ราคาถูก โดยเฉพาะ Polypropylene (PP) ซึ่งได้วัตถุดิบราคาถูกจากรัสเซีย ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมา SCG ได้ปรับตัวหารือกับสหรัฐ ในเรื่องของการนำเสนอสินค้าต่างๆ ล่าสุดในปีนี้สามารถขายปูนคาร์บอนต่ำให้สหรัฐกว่า 1.3 ล้านตันแล้ว
“SCG มีโปรแกรม Go Together โดยเปิดบ้านช่วยให้ความรู้แก่เอสเอ็มอี นำเสนอเทคนิคการปรับปรุงคุณภาพสินค้าว่าจะลดต้นทุน พัฒนาธุรกิจเพื่อให้ผ่าน Audit ของสหรัฐ มาตรฐานแรงงาน การใช้พลังงานสะอาดลดต้นทุน เรามีหลายโปรเจกต์ อีกทั้ง มาตรการปรับขึ้นค่าแรงก็จะเข้ามาผลกระทบต่อต้นทุนถือเป็นเรื่องใหญ่ที่จะทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้เรื่อยๆ การใช้หุ่นยนต์ให้เหมาะกับระดับแรงงานจะต้องเข้ามาเสริม รวมถึงการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ให้เหมาะกับงาน เป็นต้น”
สำหรับแผนธุรกิจปี 2568 หากมองผลประกอบการ 3 ไตรมาส ปี 2567 พบว่า กำไรปีต่อปีลดลง 40% ถือว่าเยอะ และเมื่อแยกธุรกิจที่ลงคือ ปิโตรเคมี แต่เมื่อซูมจะเห็นว่ากระแสเงินสดลงแค่ 10% SCG จึงมั่นใจว่าจะผ่านวิกฤตินี้ไปได้
อีกทั้งธุรกิจปิโตรเคมีในไทยยังถือว่ามีกำไร แต่ที่ดึงกำไรคือ ธุรกิจที่เวียดนาม เพราะเป็นคอมเพล็กซ์ใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มดำเนินการใน 3 ปีแรก การเดินเครื่องยังไม่นิ่ง และยังไม่มีมูลค่าเพิ่ม
สำหรับวิธีการแก้ของ SCG ในเวียดนาม จะเร่งแก้ไขระยะสั้นคือ การจ่ายหนี้คืนเพื่อลดต้นทุนด้านดอกเบี้ย ส่วนค่าเสื่อม ให้เป็นไปตามหลักทางบัญชี พร้อมเดินคอมเพล็กซ์เมื่อมีกำไร ซึ่งวัตถุดิบโพรเพนจะราคาถูกช่วงซัมเมอร์ จึงควรกลับมาเดินเครื่องในช่วงนั้น
ส่วนระยะกลางและระยะยาว ต้องปรับวัตถุดิบเป็นอีเทนโดยการลงทุน LSP เพื่อรับก๊าซอีเทนสหรัฐจะช่วยลดต้นทุนการผลิตแข่งขันอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลก เพิ่มความยืดหยุ่นของวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งขณะนี้ราคาประมาณ 300 ดอลลาร์ต่อตัน เมื่อคูณ 1 ล้านตัน จะเป็นเงิน 300 ล้านดอลลาร์ต่อปี หาก Advantage ได้ 300 ดอลลาร์ต่อตัน ไม่กี่ปีจะคืนทุนได้
ส่วนเศรษฐกิจเวียดนาม ทางการเมืองถือว่าเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้เลขาธิการคนใหม่สามารถบริหารนโยบายได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ เศรษฐกิจเวียดนามที่คาดว่าปี 2567 จะโต 6% ปี 2568 ตั้งเป้าโต 8% และปี 2569 โตกว่า 10% โดยสิ่งที่ผู้นำเวียดนามแก้ปัญหาที่เรื้อรังที่สะสมมานานคือ
1. ปัญหาไฟฟ้าที่ไม่เสถียร ซึ่งตอนนี้สามารถแก้ปัญหาได้ภายใน 3 เดือน โดยบริษัทที่ลงทุนด้านพลังงานสะอาดสามารถจ่ายไฟฟ้าผ่านระบบสายส่งสมาร์ตกริดได้แล้ว
2.นโยบายการยุบรวมกระทรวง เพื่อลดขนาด และขั้นตอนการทำงาน เช่น นำเอา 3 กระทรวง มาเหลือ 1 กระทรวง ซึ่งถ้าทำได้จริงก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ และถ้าเวียดนามทำได้ ไทยก็เป็นไปได้เพียงแต่ต้องตั้งใจทำจริง ๆ อีกทั้ง SCG มีธุรกิจในเวียดนามใหญ่อันดับ 2 รองจากประเทศไทย โดยสัดส่วนธุรกิจในไทยที่ 50% เวียดนาม 20% ถัดมาเป็นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอื่นๆ ตามลำดับ
“เวียดนามถือเป็นอีกประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐ อันดับ 2-3 ดังนั้น มีโอกาสที่จะถูกเรียกคุย เพียงแต่ว่าเวียดนามมี Special Position ที่ Balance ระหว่างทางจีน และสหรัฐ และเป็นประเทศที่มีทรัพยากร และแรงงานที่มีการเติบโตสูง และสามารถปรับตัวได้”
ถึงเวลาหั่นทิ้งธุรกิจกำไรน้อย สร้างการเติบโตธุรกิจใหม่
นายธรรมศักดิ์ กล่าวถึงการตัดทิ้งธุรกิจที่ไม่ทำกำไรว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา SCG ได้ทดลองพัฒนาธุรกิจใหม่มากมายเพื่อตอบรับกับ New Business แต่ต้องยอมรับว่า การทำธุรกิจใหม่มีทั้งที่สำเร็จ และไม่สำเร็จ เมื่อมองเห็นแล้วว่าจะไปได้ดีจะใส่เงินลงทุนเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโต
ส่วนธุรกิจไหนดูแล้วว่าจะไม่สำเร็จก็ไม่ควรยื้อไว้แล้วโยกบุคลากรให้ไปอยู่ในกลุ่มอื่นที่สร้าง Impact ได้มากกว่า ซึ่งการสตรีมไลน์ธุรกิจจะเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าคนที่ทำไม่เก่ง แต่ดูแล้วผลตอบแทนในธุรกิจไม่เวิร์กไม่คุ้ม
“อย่างธุรกิจขนส่ง SCG EXPRESS ที่รู้จักกันในนามแมวดำ ที่ต้องยุติลงถือว่าเติบโต แต่ผลตอบแทนทางการเงินน้อย และจะต้องถมเงินไปอีกเท่าไร แล้วใครจะได้ประโยชน์ หากเทียบกับธุรกิจรีไซเคิล โพลิเมอร์ที่คุ้มกว่า เราต้องทำในสิ่งที่ดีกว่า และคุ้มกว่าในระยะยาว เป็นธรรมชาติของการทำธุรกิจ”
ทั้งนี้ จะเห็นว่า SCG ได้ขยายธุรกิจก้าวสู่ธุรกิจใหม่ตอบรับเทรนด์โลก เช่น พลังงานสะอาด ซึ่งลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อาทิ กลุ่มเอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ ผ่านการทำ Rondo Heat Battery ซึ่งสิ่งไหนที่ขยายธุรกิจด้านสมาร์ต กริด ซึ่งสร้างผลตอบแทนทางการเงินระยะยาว และกล้าปิดธุรกิจเก่าที่ไม่เวิร์ก สรุปแล้วมีทั้งเปิดใหม่ และตัดทิ้งไป
นายธรรมศักดิ์ กล่าวถึงราคาหุ้นของ SCG ช่วงนี้ที่อาจมีขึ้น และลงว่า นักลงทุนอาจมองว่าปิโตรเคมีขาลง ซึ่งราคาหุ้นขึ้นกับ Cycle การลงทุน ทั้งการลงทุนระยะสั้นระยะยาว ซึ่งการลงทุนจะต่างกันไป จังหวะการลงทุนต้องดูว่า อยากจะลงทุนในช่วงไหน แต่อยากให้ความมั่นใจว่า การลงทุนในกลุ่มหุ้นลักษณะขึ้นๆ ลงๆ สำคัญที่สุดเลย บริษัทนั้นจะต้องมีความมั่นคงทางการเงิน
“SCG จ่ายเงินกู้คืนไม่มีปัญหาด้านการเงิน มีการเปลี่ยนแปลง Portfolio สร้างธุรกิจใหม่จากสินทรัพย์กว่า 8 แสนล้านบาท การลงทุนในธุรกิจใหม่จึงค่อยๆ ลงทุนในจังหวะที่ไม่เกินตัวและตรงไปตรงมา”
อย่างไรก็ตาม เรื่องของ Cycle ธุรกิจปิโตรเคมียอมรับว่าไม่มีใครทายถูก ซึ่งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ จะเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก อีกทั้ง หากสหรัฐ หันมาสนับสนุนให้ผลิตน้ำมันเยอะขึ้น ก็อาจจะไม่ดีในเรื่องของ Global Complex แต่จะดีกับธุรกิจปิโตรเคมี เพราะราคาวัตถุดิบจะลดลงด้วย Margin ดีขึ้น แต่จะในระยะยาวหรือไม่ยังไม่สามารถมีใครตอบได้
ปรัชญาการทำงานมอง “ปัญหา” เป็นความสุข
นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า ภายหลังเข้ารับตำแหน่ง CEO SCG ต้นปีที่ผ่านมา ยอมรับว่าคนที่มาดูแลธุรกิจ ต้องมองระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ตอนเข้ามาตนมีเป้าหมายระยะยาวที่อยากจะเปลี่ยน Portfolio ของ SCG ไปสู่ low Carbon ถือเป็น New s-curve จะสร้าง Margin ได้ ดังนั้น จากปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างปีโดยเฉพาะภูมิรัฐศาสตร์ ฯลฯ จะต้องแก้ไขทีละเรื่อง ส่วนการพัฒนาองค์กร เพื่อสร้างการเติบโตแม้จะเหนื่อย แต่จะไม่หยุดที่จะช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้ เพราะทุกการทำงานนั้นเหนื่อยหมด
“สำหรับปรัชญาการทำงานจะคิดเสมอว่า เมื่อเจอปัญหาจะเรียกปัญหาว่าความสุข ดังนั้น จึงต้องแบ่งปันความสุขให้ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ และปัญหาต่างๆ จะแก้ไขไปได้อย่างรวดเร็ว”
Published on: Dec 17, 2024