ใครที่ได้เห็นฟอร์มการเล่นของ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ -“ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ล่าสุดในการแข่งขันแบดมินตันรายการเก่าแก่ที่สุดของโลกอย่าง “ออลอิงแลนด์ 2020” จะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเรื่องของความแม่นยำและความรวดเร็ว
คู่ผสมมืออันดับ 3 โลกของไทย สร้างประวัติศาสตร์ให้ตัวเองด้วยการผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ ได้เป็นครั้งแรกในรายการนี้ ก่อนจะไปพ่าย ปราวีน จอร์แดน-เมลาติ แดวา อ๊อกตาเวียนติ มือ 5 ของโลกจากอินโดนีเซียไปอย่างน่าเสียดาย 1-2 เกม 15-21,21-17,8-21 คว้ารองแชมป์กลับมาอย่างน่าประทับใจในฟอร์มการเล่นและความใจสู้ของทั้งคู่ ผลงานครั้งนี้ ส่งผลให้ “บาส-ปอป้อ” เป็นนักแบดฯไทยรายที่ 8 ที่ได้รองเเชมป์ออลอิงแลนด์ที่เริ่มแข่งมาเมื่อปี ค.ศ. 1899 หรือ 121 ปีที่ผ่านมา
โดยก่อนหน้านี้นักแบดฯไทยเคยเข้าชิง 7 ครั้งใน 4 ประเภท คือชายเดี่ยว เจริญ วรรธนะสิน เข้าชิง 2 ครั้งเมื่อปี 1960, 1962 และชาญณรงค์ รัตนแสงสรวง เมื่อปี 1963 ,ชายคู่ ณรงค์ พรฉิม กับ ระพี กาญจนระพี เมื่อปี 1962, หญิงเดี่ยว รัชนก อินทนนท์ เข้าชิง 2 ครั้ง เมื่อปี 2013, 2017 และคู่ผสม สุดเขต ประภากมล-สราลีย์ ทุ่งทองคำ เข้าชิงเมื่อปี 2011 ก่อนไปทำศึกใหญ่ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ “บาส-ปอป้อ” มีเวลาประมาณ 6 สัปดาห์ในการเตรียมความพร้อม เพราะการแข่งขันหลายรายการถูกยกเลิกอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19
“โค้ชโอม” เทศนา พันธ์วิศวาส หัวหน้าผู้ฝึกสอน “เอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่” กล่าวว่า ก่อนไปแข่งขันได้ตั้งเป้าว่า ทั้งคู่จะต้องผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศเป็นอย่างน้อย ซึ่งการได้หยุดแข่งขันไปเดือนเศษๆ ทำให้มีเวลาฝึกซ้อม มีเวลาในการเตรียมร่างกาย สร้างความแข็งแกร่ง รวมถึงมีการเสริมโปรแกรมฝึกซ้อมในเรื่องความแม่นยำ ความรวดเร็ว
“ทั้งคู่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ยังทำไม่ได้ตามที่คาดหวัง แค่ทำได้เท่านั้น แต่ควบคุมไม่ได้ ต้องมีเวลาในการซ้อมมากกว่านี้ โดยภาพรวมผมพอใจแค่ 70 เปอร์เซนต์ เพราะทั้งคู่ยังควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ การพลิกเกมยังทำได้ไม่ดี ยังต้องใช้เวลาเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีก
“ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ในรอบชิงชนะเลิศกับคู่อินโดนีเซีย คู่ต่อสู้นั้นจะพลิกเกม ปรับวิธีการเล่นอยู่ตลอดเวลา เรียกว่า มีทั้งฝีมือและแท็คติกที่ดีกว่าเรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราจะต้องเรียนรู้และนำกลับมาปรับใช้ต่อไป ทั้งบาสและปอป้อ มีสภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เพียงแต่จะต้องแก้ไขรายละเอียดที่ขาดหายไป หลังเกมนัดชิงชนะเลิศ ผมก็ได้บอกทั้งคู่ให้รู้แล้วว่า จะต้องเสริมในจุดไหนที่ขาดหายไปบ้าง”
ส่วนหลังจากนี้ ที่รายการแข่งขันแบดมินตันทั่วโลกถูกเลื่อนออกไปจนยังไม่มีกำหนดที่จะกลับมาแข่งขันได้เมื่อไหร่ และอาจจะล่วงเลยไปถึงวันสิ้นสุดการเก็บคะแนนสะสมแต้มโอลิมปิกเกมส์ 2020 (26 เมษายนนี้) นั้น “โค้ชโอม” กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสหพันธ์แบดมินตันโลกที่จะพิจารณาว่าจะให้เลื่อนการเก็บคะแนนไปหรือไม่ ในส่วนของนักกีฬาเราเมื่อไม่มีโปรแกรมแข่งขันก็ถือว่า เป็นเรื่องดีที่จะได้มีเวลาฝึกซ้อมแก้ไขมากขึ้น
หลังจากนี้ทุกชาติมีเวลาอีกราว 4 เดือนเท่ากันสำหรับการไปสู่เป้าหมายในสังเวียนโอลิมปิกเกมส์ 2020 หากการแข่งขันไม่ถูกเลื่อนออกไปเสียก่อน ทีมงานของ “เอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่” ทุกคน พร้อมจะใช้เวลาทุกนาที ให้มีค่าที่สุด เพื่อทำฝันให้วงการแบดมินตันไทยและวงการกีฬาไทยเป็นจริง.