ESG Symposium 2025 ผนึกทุกภาคส่วน เร่งเปลี่ยนผ่านพลังงาน – ยกระดับ SMEs – รับมือโลกรวน ขับเคลื่อนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ “แข่งขันได้ เข้าถึงง่าย และขับเคลื่อนได้จริง”

2 ตุลาคม 2568: กรุงเทพฯ – ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ สังคม และภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรง ESG Symposium 2025 จัดขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์มความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ อย่างเป็นรูปธรรมที่ต้อง “แข่งขันได้ เข้าถึงง่าย และขับเคลื่อนได้จริง” โดยเน้น 3 วาระสำคัญ ได้แก่ 1. การเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด (Energy Transition) 2. การยกระดับ SMEs สู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำครบวงจรและเป็นธรรม (Just Transition for SMEs) และ 3. การเตรียมพร้อมรับมือโลกรวน (Climate Adaptation) เสริมขีดความสามารถแข่งขันระดับสากล รับมือความผันผวนทั้งโลกรวน และเศรษฐกิจโลกอย่างทันท่วงที

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “ESG Symposium เป็นแพลตฟอร์ม ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วน ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด GREEN BREAKTHROUGH AMID THE PERFECT STORM – เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน’ เพื่อร่วมออกแบบและขับเคลื่อนนโยบายและโครงการที่ทำให้ประเทศไทยแข่งขันได้และยั่งยืน โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คนจากภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ วิกฤติสภาพภูมิอากาศ และภาวะเศรษฐกิจโลก จากสงครามการค้า จึงต้องเร่งวางกรอบกลยุทธ์ที่ “แข่งขันได้ เข้าถึงง่าย และขับเคลื่อนได้จริง” เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก พร้อมสร้างรากฐานอย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางสำคัญดังนี้

ปลดล็อก ปรับโครงสร้าง วางระบบพลังงานเสรีครบวงจร เร่งเปลี่ยนผ่านพลังงาน

เร่งวางระบบพลังงานเสรีอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการเปิดเสรีตลาดไฟฟ้าด้วยมาตรฐาน TPA Code และการส่งเสริมสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) พร้อมปรับโครงสร้างระบบพลังงานให้รองรับ ทคโนโลยีใหม่ เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ในต้นทุนที่เหมาะสม เพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า สำหรับรับมือกับ ความผันผวนในระดับโลกอย่างมีประสิทธิภาพ

ยกระดับ SMEs สู่ความยั่งยืนและแข่งขันได้จริง

จัดตั้ง One Stop Service เพื่อให้ SMEs เข้าถึงเงินทุน ความรู้ และเทคโนโลยีได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียน และเปิดโอกาสให้ SMEs เข้าสู่ตลาดแข่งขันได้จริง ขณะเดียวกันเร่งปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีสีเขียวและดิจิทัล พัฒนาทักษะแรงงานผ่านการอบรมและ Skill Matching เตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงของตลาด สร้าง Ecosystem ที่เชื่อมโยงแผนพัฒนาระดับชาติ และวาระลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้ SMEs เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน

เร่งเตรียมความพร้อมปรับตัวรับมือโลกรวน ด้วยนวัตกรรมและความร่วมมือ

ดำเนินการวางรากฐานการปรับตัว ต่อสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ผ่านความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตร นำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ประโยชน์ พร้อมศึกษาและนำแนวทางนโยบายจากต่างประเทศ มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของไทย เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือวิกฤติโลกรวน

ด้าน ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า “ระบบพลังงานของไทยเผชิญแรงกดดันทั้งจากเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก NDC 3.0 การตอบรับมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป และความจำเป็นในการยกระดับดัชนี Energy Transition Index เพื่อความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาค เราจึงเสนอกรอบแนวทาง ‘ชัด คล่อง เป็นจริง’ โดยมุ่งเน้นการเปิดตลาด Direct PPA ที่โปร่งใสเพื่อดึงดูดการลงทุนพลังงานหมุนเวียน การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน และไฮโดรเจน พร้อมสร้างความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อวางรากฐาน Green Infrastructure ที่มั่นคงและยั่งยืน รวมทั้งพัฒนาแรงงานทักษะสีเขียว โดย TDRI พร้อมสนับสนุนงานวิจัยและนโยบาย ในทุกขั้นตอนของการเปลี่ยนผ่านนี้”

ขณะที่ ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์ SME ไทย กล่าวว่า “MSMEs (Micro & Small, Medium Enterprises) ซึ่งเป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจไทยกว่า 99.5% ของผู้ประกอบการและมีการจ้างงานกว่า 13 ล้านคน ยังคงเผชิญกับ 4 ความท้าทายหลัก ได้แก่ การเข้าถึงแหล่งทุน โอกาสเชื่อมโยงตลาดใหม่ กฎระเบียบที่ยังซับซ้อน และขาดทักษะอนาคต โดยได้กำหนดแนวทางเพื่อครอบคลุมมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยมาตรการดังกล่าวกระตุ้นเร่งให้เติมทุนหมุนเวียนให้ Micro และ Small Entrepreneurs โดยให้ความสำคัญกับ การสร้างช่องทางการเงินใหม่ๆ ที่ไม่ผูกติดอยู่กับระบบธนาคารที่มีความเข้มงวดต่อการพิจารณาสินเชื่อสูง อาทิ กองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็ก (Micro & Small Entrepreneurs) ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ 3-4% ต่อปี เพื่อเพิ่มความสามารถในการปรับตัว และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันต่อไป นอกเหนือจากนี้ การยกระดับทักษะและนวัตกรรมทาง Digital, AI and Green Transformation เพื่อให้เกิดความพร้อม ในการเชื่อมโยงตลาดใหม่ ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงตลาด Online ตลอดจนการสร้าง One Stop Service และ Ecosystem ครบวงจร พร้อมผลักดันการปรับปรุงกฎระเบียบ ที่เอื้อกับผู้ประกอบการ MSME ให้เติบโตอย่างมั่นคงและแข่งขัน ได้ในระยะยาว ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ”

“นอกจากนี้ การเตรียมความพร้อม ในการรับมือวิกฤตโลกรวน (Climate Adaptation) เป็นโจทย์เร่งด่วนที่ประเทศ ต้องเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพราะผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และความผันผวนของทรัพยากร กำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต และความมั่นคงของประเทศ การเร่งเตรียมพร้อมอย่างรอบด้าน จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือความจำเป็น โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และองค์ความรู้มาใช้ ยกระดับความสามารถในการปรับตัว ลดความเสี่ยง และสร้างภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบ

เอสซีจีพร้อมเดินหน้าร่วมกับพันธมิตรจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อผลักดันข้อเสนอจาก ESG Symposium 2025 ไปสู่การปฏิบัติจริง ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ และการลงทุนพัฒนาผ่านโครงการนำร่อง PPP สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อมรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลง ที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต” นายธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

Published on: Oct 2, 2025

(Visited 24 times, 24 visits today)