ผ่ากลยุทธ์สู้ความผันผวน วัสดุก่อสร้างไทย Inclusive Green Growth ปั้นกำไรโต 3 เท่าใน 5 ปี

ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน THE STANDARD WEALTH ได้สัมภาษณ์ วิโรจน์ รัตนชัยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล เพื่อเจาะลึกกลยุทธ์การรับมือและทิศทางการเติบโตของทั้งสองธุรกิจท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและภูมิทัศน์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป

สัญญาณตลาดในประเทศชะลอตัว

วิโรจน์ฉายภาพว่า ตลาดวัสดุก่อสร้างภาพรวมชะลอตัวตั้งแต่ปลายปี 2567 ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง ตลาดที่ยังมีสัญญาณบวก จะเป็นงานซ่อมแซมและต่อเติมมากกว่างานสร้างบ้านใหม่ ในขณะที่กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้รับผลกระทบโดยตรง จากความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ทำให้สต็อกบ้านใหม่ยังสูง ต้องใช้เวลาระบายนานกว่าอีกหลายปี ในขณะที่ตลาด Non-Residential อย่างศูนย์การค้าและโรงพยาบาล ยังมีการก่อสร้างและขยายตัวอยู่ต่อเนื่อง รวมถึงงานก่อสร้างจากภาครัฐ ที่หนุนให้ยอดขายปูนซีเมนต์ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง จากการเร่งเบิกจ่ายงบโครงสร้างพื้นฐาน

คาดว่าครึ่งปีหลังของปี 2568 ตลาดรวมในประเทศ จะยังคงชะลอตัวต่อเนื่องหลังจากสหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าครั้งล่าสุด คาดหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจงบประมาณ 1.57 แสนบาทจากรัฐจะช่วยให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ตามแผน

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก เช่น ต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นจากสงครามในตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลต่อราคาน้ำมันและค่าขนส่ง รวมถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น PM 2.5 อากาศร้อน และกระแสรักษ์โลก ซึ่งถือเป็นโอกาสในการพัฒนาสินค้า เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ให้กับผู้บริโภค

วิโรจน์ชี้ว่าความท้าทายจากสงครามในตะวันออกกลาง สงครามการค้า และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต และกำลังซื้อของผู้บริโภค อีกความเสี่ยงหนึ่งคือ การทะลักของสินค้าจีนเข้ามาในตลาดไทย อย่างไรก็ตามในวิกฤตก็ยังมีโอกาส ในการสร้างการเติบโตของธุรกิจได้

มุ่งสู่ Inclusive Green Growth แนวทางสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจตลอด Value Chain

ในภาวะที่ธุรกิจกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งสงครามการค้าโลก ราคาพลังงานผันผวน โลกร้อน และสภาพอากาศแปรปรวน SCG Smart Living นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันของธุรกิจวัสดุก่อสร้างและการอยู่อาศัย เพื่อตอบโจทย์ตลาดและความต้องการของผู้บริโภค ตามแนวคิด “Inclusive Green Growth” อย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่า การปรับตัวเร็วจะช่วยคว้าโอกาสที่ซ่อนอยู่ในวิกฤติได้

ส่วนของภาคการผลิตก็ได้หันมาให้ความสำคัญ กับการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด เช่น Biomass และ Solar โดยปัจจุบันโรงงานผลิตในธุรกิจ SCG Smart Living มีสัดส่วนการใช้พลังงานจาก Solar อยู่ที่ 20% ของพลังงานที่ใช้ในการผลิตทั้งหมด และมีแผนจะเพิ่มขึ้นอีกในปีต่อๆ ไป อีกทั้งยังให้ความสำคัญในการนำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาประสิทธิภาพในการผลิต ด้วยการนำกระบวนการ Lean Automation มาใช้มากขึ้น รวมถึงการพัฒนาสูตรการผลิตสินค้าให้สามารถเพิ่มความหลากหลายของการใช้วัตถุดิบ ใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุเหลือทิ้งทดแทน การใช้ทรัพยากรธรรมชาติในปริมาณมากขึ้น เพื่อบริหารจัดการต้นทุนให้ดีที่สุด

อีกกลยุทธ์สำคัญในสถานการณ์ที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง คือการมุ่งเน้นออกผลิตภัณฑ์กลุ่ม Quality Affordable Products (QAP) เพื่อตอบโจทย์ตลาดช่วงกำลังซื้อชะลอตัว โดยยังคงมาตรฐานคุณภาพและฟังก์ชันการใช้งานพื้นฐาน เพื่อให้ต้นทุนและราคาขายลดลงได้ หรือมีแพ็กเกจที่หลากหลาย เช่น เอสซีจี โซลาร์รูฟ ที่มีหลายแพ็กเกจราคา หรือ หลังคาเซรามิก เอสซีจี รุ่น Celica Curve ที่บางลงแต่ยังคงความทนทาน หรือ กระเบื้องคอนกรีตปูพื้นทางเดิน ใช้ในงานออกแบบได้หลากหลาย

เอสซีจี โซลาร์รูฟ ที่มีหลายแพ็กเกจราคา

อ่านเพิ่มเติมที่ THE STANDARD

Published on: Jul 16, 2025

(Visited 9 times, 9 visits today)