SCGD รุก 4 กลยุทธ์ มั่นใจรับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน

จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวน ไม่ว่าจะจากราคาพลังงานเนื่องจาก เหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ที่ขยายวงกว้างขึ้น หรือจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก ของการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกา ที่ยังไม่ข้อสรุปที่แน่ชัด เอสซีจี เดคคอร์ ขอให้ความเชื่อมั่นว่า จะดำเนินงานด้วยความมุ่งมั่นและต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพผ่านการลดต้นทุน และการพัฒนาการนำเสนอสินค้า มูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added product)

นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) กล่าวว่า จากสถานการณ์ฯ ที่เกิดขึ้น บริษัทฯ ได้ติดตามสถานการณ์โลกและในประเทศอย่างใกล้ชิด แม้ว่า บริษัทฯ จะมีรายได้จากการส่งออกสหรัฐฯ น้อยกว่าร้อยละ 1 ของยอดขายทั้งหมด อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงรักษาความสามารถการแข่งขันด้วยต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทั้งในไทยและต่างประเทศ พร้อมเดินหน้าตามแผน รุก 4 กลยุทธ์รับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน ดังนี้

นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน)

1) มุ่งสู่ผู้นำบริหารต้นทุนการผลิตสินค้า (Cost Leadership Focus) และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เร่งเพิ่มสัดส่วนใช้ พลังงานทดแทนที่มีราคาถูกกว่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดความผันผวนของต้นทุนพลังงาน เร่งพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่ม และสินค้าที่มีความคุ้มค่าต่อผู้บริโภค เช่น การเร่งโครงการกระเบื้องเกรซพอร์ซเลนในเวียดนาม ซึ่งมีความได้เปรียบด้านต้นทุน หรือการทำสินค้า SPC ในไทยให้มีต้นทุนที่สามารถแข่งขัน กับสินค้าจากผู้ผลิตระดับโลกได้ ส่งผลให้ปริมาณการขายทั้งกระเบื้องเกรซพอร์ซเลนในเวียดนาม และสินค้า SPC ในไทยสูงขึ้นประมาณ 30% และ 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมยกระดับความสามารถ ในการแข่งขันผ่านการปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อลดค่าใช้จ่าย และลดเงินทุนหมุนเวียนเพื่อ ลดต้นทุนทางการเงิน โดยในปีนี้คาดว่าจะได้ Saving ได้ประมาณ 100 ล้านบาท และตั้งเป้าให้สามารถแข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้

2) ขยายการส่งออกจากเวียดนาม เช่น กระเบื้องเกรซพอร์ซเลน และกระเบื้อง Ceramic ใช้ฐานการผลิตในเวียดนาม ซึ่งมีต้นทุนการผลิตใกล้เคียงผู้เล่นระดับโลกเป็นฐานทัพสำคัญในการขยายตลาดใหม่ ได้แก่ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ที่บริษัทมีเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย ที่มีความพร้อมในการรองรับ

3) เสริมพอร์ตด้วยสินค้าคุณภาพคัดพิเศษ อาศัยความได้เปรียบจากการเป็นผู้นำเข้าอันดับหนึ่ง ทำให้สามารถคัดเลือกสินค้ากระเบื้อง และสุขภัณฑ์ที่ดีในราคาที่เหมาะสม เพื่อตอบสนองลูกค้าและเพิ่มกำไร

4) มองหาความร่วมมือและโอกาสใหม่ในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เปิดรับการ Merger and Partnership และความร่วมมือในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว

จากกลยุทธ์ดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยใน ไตรมาสที่ 1/2568  บริษัทเติบโต EBITDA อยู่ที่ 808 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากไตรมาสก่อน  EBITDA Margin อยู่ที่ 13.7% สูงกว่าไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่  11.9% และกำไรสุทธิอยู่ที่  217 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 171% จากไตรมาสก่อน ขณะเดียวกัน อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 3.9% เทียบกับ 2.8% ในไตรมาสก่อน  ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถรับมือ กับความผันผวนที่กำลังเกิดขึ้นอนาคต พร้อมเดินหน้าปรับตัวเชิงรุก มองหาโอกาสทางการค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งด้านประสิทธิภาพด้านต้นทุน เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก

Published on: Jun 24, 2025

(Visited 20 times, 1 visits today)